ข่าวเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2558
โครงการพัฒนา "ท่าเรือเฟอร์รี่" เชื่อมโยงอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก (East-West Ferry) เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ ที่ "รัฐบาล คสช." หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กำลังเร่งเครื่องปลุกปั้นให้เสร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โดยมี "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. และมี "กรมเจ้าท่า" หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นเจ้าภาพหลัก
เร่งศึกษาให้เสร็จ 30 วัน
"เส้นทางนี้มีมานาน มีผู้ประกอบการเดินเรืออยากจะให้ทบทวนโครงการ ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.เห็นว่า เส้นทางนี้จะเกิดประโยชน์ในการขนส่งสินค้า การเดินทางของประชาชนและการท่องเที่ยว จึงสั่งตั้งคณะทำงานขึ้น 1 ชุด มีฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.ร่วมศึกษากับกรมเจ้าท่า" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
"คสช." ฟื้นเดินเรือเฟอร์รี่อ่าวไทย ทางลัด 100 กม. วิ่งฉิว 2 ชม. "พัทยา-ชะอำ-หัวหิน"
โครงการพัฒนา "ท่าเรือเฟอร์รี่" เชื่อมโยงอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก (East-West Ferry) เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ ที่ "รัฐบาล คสช." หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กำลังเร่งเครื่องปลุกปั้นให้เสร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โดยมี "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. และมี "กรมเจ้าท่า" หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นเจ้าภาพหลัก
เร่งศึกษาให้เสร็จ 30 วัน
"เส้นทางนี้มีมานาน มีผู้ประกอบการเดินเรืออยากจะให้ทบทวนโครงการ ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.เห็นว่า เส้นทางนี้จะเกิดประโยชน์ในการขนส่งสินค้า การเดินทางของประชาชนและการท่องเที่ยว จึงสั่งตั้งคณะทำงานขึ้น 1 ชุด มีฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.ร่วมศึกษากับกรมเจ้าท่า" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ล่าสุด "บิ๊กจิน" สั่งการให้ "กรมเจ้าท่า" เร่งศึกษารายละเอียดโครงการให้เสร็จภายใน 12-13 เดือน จากกรอบเวลาปกติต้องใช้เวลาดำเนินการ 18 เดือน เนื่องจากมีผลการศึกษาเดิมเมื่อปี 2555 อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่า "หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช." จะกำหนดกรอบเวลาชัดเจนไปแล้ว แต่เพื่อต้องการผลักดันโครงการเดินหน้าเร็วขึ้น ได้กำชับให้ "กรมเจ้าท่า" เร่งสรุปภาพรวมของโครงการให้เสร็จใน 30 วัน เพื่อเตรียมการขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนจะลงลึกรายละเอียดต่อไป
สำหรับโครงการนี้ "กรมเจ้าท่า" ตั้งงบประมาณปี 2558-2559 จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อศึกษาโครงการไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มต้นโครงการได้หลังเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป
เป็นท่าเรือขนาดมาตรฐาน
ขณะที่รูปแบบของโครงการ "บิ๊กจิน" ระบุว่า ให้กรมเจ้าท่าออกแบบให้เป็นท่าเรือมาตรฐาน รองรับรถยนต์ได้ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ พร้อมการบริการเชิงพาณิชย์ด้วย คาดว่าจะใช้เวลาสำรวจออกแบบ 1 ปี โดยจะต้องเลือกท่าเรือที่เหมาะสมทั้ง 2 ฝั่ง และจะมีท่าเรือหลัก ท่าเรือสำรอง
หากเป็นไปได้จะใช้ท่าเรือของภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากต้องการให้เป็นท่าเรือสำหรับสาธารณะ จะทำให้การบริการไม่แพงมาก ส่วนการให้บริการเดินเรือนั้น จะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนที่เข้ามารับสัมปทานเดินเรือ
ประหยัดเวลาเดินทาง
"ยอมรับว่าการลงทุนช่วงแรกจะสูง แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริการและซ่อมบำรุงจะลดลง และในระยะยาวจะส่งผลให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เพราะเส้นทางเรือจะเป็นเส้นทางลัดในการเดินทางและขนส่งสินค้าใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขณะที่ทางรถยนต์จะต้องวิ่งอ้อมไปจากชลบุรี ผ่านสมุทรปราการ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง" พล.อ.อ.ประจินกล่าวและว่า
เบื้องต้นจุดเหมาะสมสำหรับท่าเรือฝั่งตะวันตก จะอยู่บริเวณหัวหิน, ปึกเตียน, ชะอำ จ.เพชรบุรี, ปราณบุรี จ.ประจวบฯ ส่วนฝั่งตะวันออก บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง หรือท่าเทียบเรือเกาะลอย ศรีราชา คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและจัดหาผู้ให้บริการเดินเรือภายใน 3 ปี แต่หากเลือกท่าเรือเดิมที่มีอยู่แล้วการพัฒนาจะเหลือประมาณ 1 ปีครึ่ง
เปิดผลศึกษาเดิมปี′55
ส่วนผลการศึกษาความเป็นไปได้โครงการของ "กรมเจ้าท่า" เมื่อปี 2555 สรุปจุดที่เหมาะสมคือ แหลมบาลีฮาย จ.ชลบุรี และหาดปึกเตียน จ.เพชรบุรี ระยะทาง 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง จะเป็นการให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่ในระยะเริ่มต้น
โดยเป็นเรือที่มีความสามารถในการเดินทะเลได้ตลอดปี และมีความปลอดภัยจากคลื่นในฤดูกาลมรสุม โดยใช้เรือบรรทุกผู้โดยสารได้คราวละ 280 คน กินน้ำลึก 3 เมตร ยาว 40 เมตร กว้าง 7 เมตร ขนาด 250 ตันกรอส และความเร็วเดินทาง 18 นอต
รูปแบบการลงทุน ทางภาครัฐและเอกชนจะร่วมลงทุน โดยรัฐจะลงทุนสร้างท่าเรือใหม่หรือใช้ท่าเรือที่มีอยู่เดิม เช่น ท่าเรือแหลมบาลีฮาย (พัทยาใต้) ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าจอดเรือโอเชี่ยนมารีน่า ท่าเรือชลประทานซีเมนต์ (ชะอำ) ท่าจอดเรือภัทรมารีน่า (ปราณบุรี) ท่าเทียบเรือประมงหัวหิน ท่าเทียบเรือปราณบุรี ส่วนท่าเรือใหม่ที่อาจพัฒนาเพิ่ม เช่น หาดปึกเตียน และบริเวณปากร่องน้ำทางเข้าท่าเรือชลประทานซีเมนต์ ด้านเอกชนจะรับสัมปทานเช่าท่าเรือและพัฒนาการเดินเรือเองทั้งหมด ภายในระยะเวลา 10 ปี
เอกชนเสนอลงทุน 4 ปี 4 พันล้าน
ขณะเดียวกันมี "บริษัท สยามอิสเทอร์น ลอยิสติคส์ เทอร์มินอล จำกัด" มาเสนอแนวคิด รูปแบบโครงการและการลงทุนแบบครบวงจร ให้กับ "กรมเจ้าท่า" พิจารณาความเป็นไปได้ จะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2559-2562) ด้วยเม็ดเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท
แยกการดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ ปี 2559-2560 จะเป็นการต่อเรือ สร้าง Home Port และเทอร์มินอล ปี 2560-2561 เริ่มเดินเรือในเส้นทางพัทยา-หัวหิน-ปราณบุรี และปี 2561-2562 ขยายเส้นทางเป็นบางปู-หัวหิน-ปราณบุรี และบางปู-พัทยา
ตั้งเป้ามีผู้ใช้บริการปีละ 3 ล้านคน
ชูแนวคิด "นวัตกรรมใหม่การเดินทางทางน้ำของไทย" เป็นไฮไลต์ของโครงการ มีเป้าหมายเป็นกลุ่มนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว นักเดินทาง คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการประมาณปีละ 3 ล้านคนต่อปี และรถยนต์ปีละ 220,000 คัน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในการเดินทางทางเรือ ไม่น้อยกว่าปีละ 3,500 ล้านบาท และธุรกิจที่ต่อเนื่องไม่น้อยกว่าปีละ 4,500 ล้านบาท
ด้าน "บิ๊กจิน" ย้ำชัดว่า ให้กรมเจ้าท่าพิจารณาการบริการสาธารณะเป็นหลักก่อน โดยท่าเรือจะต้องดำเนินการโดยรัฐ รวมถึงดูเรื่องความปลอดภัย ระบบติดตามเรือ จากนั้นถึงจะเป็นเรื่องการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวตามมา ส่วนข้อเสนอของเอกชนให้นำมาพิจารณาเมื่อมีการเดินเรือ
หากเกิดขึ้นได้จริง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ในการเดินทางท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย
ย้อนดูโปรเจ็กต์ทำไมไปไม่ถึงฝัน
จะว่าไปแล้วโครงการเดินเรือเฟอร์รี่เส้นทาง "พัทยา-ชะอำ-หัวหิน" เคยเปิดให้บริการมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบันโดยสายเรือรายล่าสุดที่ให้บริการ ได้แก่ Thai Living บริการโดยเรือเฟอร์รี่แบบ High Speed Catamaran จำนวน 1 ลำ ให้บริการ 2 เที่ยว/สัปดาห์
จะออกเดินทางจากท่าเรือโอเชี่ยน มารีน่าใช้เวลาเดินเรือ 3 ชั่วโมงครึ่งถึงท่าเรือปากน้ำปราณบุรี ซึ่งบริษัทจัดรถบริการส่งผู้โดยสารถึงหัวหินและชะอำ คิดอัตราค่าบริการขาเดียว 1,500 บาท และค่าบริการขาไปและกลับ 2,900 บาท และค่าบริการคิดเหมารายครอบครัวขาเดียว 4,500 บาท และ 8,700 บาทสำหรับขาไปและกลับ
ขณะนั้นบริษัทไม่มีการให้บริการขนส่งสินค้า เนื่องจากตัวเรือถูกออกแบบให้รองรับการขนส่งผู้โดยสาร ที่ผ่านมา ผู้มาใช้บริการเป็นชาวต่างชาติ กลุ่มยุโรป และได้หยุดให้บริการเดินเรือจากพัทยา-หัวหินตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554
ปัญหาอุปสรรค 1.ผู้โดยสารมีน้อย มีลูกค้าเพียงต่างชาติ 2.การเดินเรือข้ามระหว่างพัทยา-ชะอำ-หัวหิน ขาดความน่าสนใจด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากไม่มีเกาะที่สวยงาม 3.ไม่สามารถแข่งขันกับการขนส่งทางถนนได้ และ 4.ปัญหาคลื่นลมพายุทะเลฝั่งชะอำและหัวหิน จะมีคลื่นที่ใหญ่กว่าที่ฝั่งพัทยา
อยู่ที่ "คสช." จะแก้โจทย์อย่างไรให้โปรเจ็กต์ไม่ล้มเหลวเหมือนที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
Tickets.co.th จองตั๋วรถทัวร์ และเรือเฟอร์รี่ออนไลน์ที่ง่าย และคุ้มค่าที่สุด
EmoticonEmoticon